วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความเป็นมาของกาญจนบุรี


ประตูเมืองกาญจนบุรี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2374
ความเป็นมาของกาญจนบุรี เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองฯ ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม สมัยบายน
กาญจนบุรียังปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรีก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญจนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เดิมตัวเมืองกาญจนบุรีเดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า (บริเวณเขาชนไก่ในปัจจุบัน) ภายหลังจนถึง พ.ศ. 2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นการถาวร ณ เมืองกาญจนบุรีใหม่โดยตั้งอยู่ ณ ตำบลปากแพรก อันเป็นสถานที่บรรจบของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย โดยตัวเมืองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และด้านการค้า โดยเริ่มก่อสร้างเมืองเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2374 และสำเร็จในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 และได้แยกออกจากสุพรรณบุรีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จพระพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วนต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการจัดรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล กาญจนบุรีถูกโอนมาขึ้นกับมณฑลราชบุรี และยกฐานะเป็นจังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ. 2467
เหตุการณ์ที่ทำให้กาญจนบุรีมีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ จากชุมทางหนองปลาดุกในประเทศไทย ไปยังเมืองทันบีอูซายัตในพม่า โดยเกณฑ์เชลยศึกและแรงงานจำนวนมากมาเร่งสร้างทางรถไฟอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้นและโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า ซึ่งภาพและเรื่องราวของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในกาญจนบุรี


    เมื่อกล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี ใครๆ ย่อมรู้จักว่าเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทย ลุ่มน้ำไทรโยค (แควน้อย) และลุ่มน้ำศรีสวัสดิ์ (แควใหญ่ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำใสสะอาด สัตว์ป่าที่จะใช้เป็นอาหาร ในน้ำเต็มไปด้วย หอย ปู ปลา มีที่ราบบริเวณเชิงเขา ถ้ำ ตามริมแม่น้ำมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกเหลือเฟือ ได้มีการขุดค้นพบเครื่องมือมนุษย์สมัยหินเก่าเครื่องมือหิน โครงกระดูกมนุษย์สมัยหินกลาง
สมัยหินใหม่ที่บ้านเก่าจนถึงยุคโลหะตอนปลายที่บ้านดอนตาเพชร การพบตะเกียงโรมัน(อเล็กซานเดรีย) ที่ตำบลพงตึการพบปราสาทเมืองสิงห์ เป็นต้น  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นหลักฐานที่แสดงว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์ใน ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ครั้งกรุงศรี-อยุธยาเป็นราชธานี กาญจนบุรีมีฐานะเป็นเมืองด่านที่มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของไทยอย่างมากเหตุการณ์ที่ปรากฏ เช่น การเดินทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์ การรบที่ทุ่งลาดหญ้า ท่าดินแดง และสามสบ จวบจนการย้ายเมืองกาญจนบุรีมาตั้งที่ปากแพรกหรือลิ้นช้าง เหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นได้ใช้เส้นทางยุทธศาสตร์สายนี้เกณฑ์เชลยศึกทำทางรถไฟไปพม่าซึ่งเรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ ทำให้เชลยศึกต้องล้มตายเป็นจำนวนมากและฝังอยู่ที่สุสานทหารสหประชาชาติมาจนถึงสงครามอินโดจีน กาญจนบุรีเป็นดินแดนที่เป็นที่ฝึกซ้อมรบเพื่อเตรียมการรบในเวียดนาม ลาวและกัมพูชา ตลอดจนเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยที่น่าสนใจ   และปัญหาการสร้างเขื่อนตอนบนของแม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย ในขณะที่ความเชื่อว่าคนไทยเดิมอยู่ไหน กำลังเปลี่ยนแปลง จังหวัดกาญจนบุรีก็ได้รับการสนใจอย่างมาก เพราะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นดินแดนที่พบร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด ตั้งแต่ยุคหินเก่า หินกลาง หินใหม่ และยุคโลหะ ได้พบเครื่องมือเครื่องใช้   ภาชนะดินเผา โครงกระดูก เครื่องประดับ ตลอดจนซากพืชซากสัตว์ที่ละทิ้งไว้ตามพื้นดิน ในถ้ำเพิงผา  แสดงว่าได้มีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นเวลานานไม่แพ้แหล่งก่อนประวัติศาสตร์แหล่งอื่นๆ ของโลก ร่องรอยของมนุษย์ในสมัยหินเก่า จากการสำรวจในประเทศไทยพบเครื่องมือหินกรวดโดยศาตราจารย์ฟริตซ์ สารแซง (Fritz Saracen)  ได้เข้ามาสำรวจในปี พ.ศ.  2475  ที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดราชบุรี  และจังหวัดลพบุรี จากการศึกษาพบเครื่องมือที่แท้เพียง 2 - 3 ก้อนเท่านั้น เรียกเครื่องมือหินเก่าที่พบในประเทศไทยว่า “Siaminian Culture” แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ หลักฐานของยุคหินเก่าได้ปรากฏชัดเจนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกมาสร้างทางรถไฟจากหนองปลาดุกผ่านจังหวัดกาญจนบุรี ถึงเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ในจำนวนเชลยศึกนี้มี ดร.แวน ฮีเกอเรน (Dr.Van Heekeren) ชาวฮอลันดาเขาได้พบเครื่องมือหินบริเวณใกล้สถานีบ้านเก่าหลายชิ้น หลังสงครามโลกได้นำไปให้ศาสตราจารย์โมเวียสแห่งสถาบันพีบอดี้มิว -เซียม (Peabody Museum) มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ปรากฏว่าเป็นเครื่องมือสมัยหินเก่าตอนต้น 3 ก้อน เครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียว  6  ก้อน  และขวานหินขัดสมัยหินใหม่  2  ก้อน   ให้ชื่อว่า  “วัฒนธรรมแฟงน้อย หรือเฟงน้อยเอียน” (Fingnoian Culture) บางท่านเรียกว่า “วัฒนธรรมบ้านเก่า” (Ban-Khaoian Culture) ในปี พ.ศ. 2499 ศาสตราจารย์โมเวียส ได้ส่งลูกศิษย์มาทำการสำรวจโดยร่วมมือกับกรมศิลปากรทำการสำรวจบริเวณหมู่บ้านเก่า จนถึงวังโพ ได้พบเครื่องมือหินกรวด 104 ก้อนต่อมาในปี พ.ศ. 2503 คณะสำรวจไทยเดนมาร์ก ได้ทำการสำรวจพบเครื่องมือหินเก่าที่บริเวณทุ่งผักหวาน จันเด ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ และที่บ้านท่ามะนาว ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จากเครื่องมือนี้พอสรุปได้ว่า คนสมัยหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรี น่าจะเป็นพวกมนุษย์วานรหรือพวกออสตราลอยด์ แต่ก็มีปัญหาว่าพวกนี้อพยพมาจากที่ใดเครื่องมือหินที่พบในจังหวัดกาญจนบุรีนี้ เป็นหินกะเทาะหน้าเดียวประเภทเครื่องขุดและสับตัด (Chopper-chopping tools) ยังไม่ปรากฏว่าได้พบโครงกระดูกของมนุษย์สมัยนี้เลย ผู้ที่สนใจและทำการสำรวจเรื่องราวของยุคหินเก่าในปัจจุบัน ก็มีคณะของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ในปี พ.ศ. 2524 ท่านได้พบเครื่องมือหินกรวดสมัย  หินเก่าตามริมแม่น้ำตามถ้ำของแม่น้ำแควน้อยใกล้ไทรโยคเป็นจำนวนมากจากร่องรอยของมนุษย์สมัยหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรีนี้ ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจัง ซึ่งต้องพบหลักฐานมากกว่านี้   แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ต้นแม่น้ำทั้งสองของจังหวัดกาญจนบุรี คือ แม่น้ำแควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่ ได้ถูกน้ำท่วมเพราะการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนเขาแหลมในปัจจุบัน 

         จากหลักฐานที่พบว่า เครื่องมือที่พบหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรี เป็นแบบวัฒนธรรม โฮบิเนียน  (Haobinhian Culture) จากการสำรวจของคณะไทย-เดนมาร์กเมื่อปี  พ.ศ. 2504 ที่ถ้ำเพิงผาหน้าถ้ำพระขอม ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค พบเครื่องมือหินกรวดจำนวนมาก และได้พบโครงกระดูกของผู้ใหญ่ 1 โครง ในระดับลึกจากเพิงผา 110–130 เซนติเมตร   โดยกระดูกนั้นอยู่ในลักษณะนอนหงายชันเข่าอยู่บนก้อนหินใหญ่แห่งหนึ่งในแนวเกือบขนานกับผนังเพิงผา นอนหันหน้าไปด้านขวามือ ศีรษะหันไปทางทิศเหนือฝ่ามือขวาอยู่ใต้คาง แขนท่อนซ้ายวางพาดอก ที่บริเวณส่วนบนของร่าง และบริเวณทรวงอกมีหินควอทซ์ไซท์ก้อนใหญ่วางทับอยู่ตอนเหนือศีรษะ และร่างมีดินสีแดงโรยอยู่ แสดงว่ามีพิธีกรรมเกี่ยวกับการฝังศพ พบกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวางอยู่บนทรวงอก เปลือกหอยกาบวางอยู่บนร่างหรือใกล้กับร่าง ที่บนแขนขวามีเปลือกหอยทะเลอยู่ 2 ชิ้น เป็นเรื่องน่าแปลกว่าเปลือกหอยทะเลคู่นี้มาได้อย่างไร  จัดว่าโครงกระดูกคนสมัยหินกลาง  โครงนี้เป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย ปัจจุบันโครงกระดูกนี้ถูกส่งกลับมาจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโคเปนเฮเกน มาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช
                   https://youtu.be/FdxAiicCQO4

วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประวัตินักเตะ “ธีรศิลป์ แดงดา” ศูนย์หน้าทีมชาติไทย


ประวัตินักเตะ “ธีรศิลป์ แดงดา” ศูนย์หน้าทีมชาติไทย

สโบเบ็ต

มุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา ศูนย์หน้าหมายเลข 10 ของทีมชาติไทยในปัจจุบัน นับว่าเป็นศูนย์หน้าที่มีความสมบูรณ์เเบบอย่างมาก เเละมีส่วนกับความสำเร็จของทัพช้างศึกในปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเขามีความสามารถในการเคลื่อนไหวไปกับลูกฟุตบอลที่รวดเร็วเเละเนียนตาอย่างมาก เเละมีลูกยิงที่เฉียบขาด พร้อมทั้งสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูได้อย่างมากมาย นับว่าเป็นผู้เล่นฟุตบอลหลักของทีมชาติไทยในปัจจุบันเลยทีเดียว
ธีรศิลป์ แดงดา นั้นเกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2531มีน้องสาวหนึ่งคนคือธนีกาญจน์ แดงดา ก็เป็นนักฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเหมือนกัน โดยเขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งเเต่ยังเด็กจากการฝึกฝนของคุณพ่อเขาเอง เเละเข้าศึกษาในโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ที่สร้างให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลชั้นยอดเลยทีเดียว เพราะเขามีส่วนช่วยให้อัสสัมชัญธนบุรีกลายเป็นเจ้าพ่อขาสั้นในเวลานั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นชีวิตค้าเเข้งกับ สโมสรฟุตบอลโรงเรียนจ่าอากาศ ในดิวิชั่น 1 ด้วยวัยเพียงเเค่ 17 ปี เท่านั้นเอง เเต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงเล่นมากนัก เเละเล่นในตำเเหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมราชประชา เอฟซี ในฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ข ก่อนที่จะกลับมาเล่นให้กับโรงเรียนจ่าอากาศ อีกครั้ง เเต่เป็นเเค่ครึ่งฤดูกาลเท่านั้น
ธีรศิลป์ แดงดา มาเข้าร่วมกับ เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ในเลกหลังเมื่อฤดูกาล 2550 ซึ่งตอนนั้นเมืองทอง ยูไนเต็ด ยังเล่นอยู่ในดิวิชั่น 2 เเละสามารถช่วยให้ทีมสร้างประวัติศาสตร์ได้เเชมป์ต่อเนื่อง 3 ฤดูกาล 3 เเชมป์ จนกลายเป็นเเชมป์ไทยลีกได้สำเร็จ ก่อนที่เข้าจะได้รับโอกาสเป็น 1 ใน 3 ผู้เล่นที่ไปทดสอบฝีเท้าที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เเละได้รับการเซ็นสัญญาในที่สุด ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านบาท เเต่ประสบปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงานในอังกฤษ จนต้องถูกปล่อยให้ กราสฮอปเปอร์คลับซูริก ในลีกสวิตเซอร์เเลนด์ ยืมตัวไปใช้งานเเต่ไม่สามารถสอดเเทรกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ จนต้องกลับมาเล่นให้กับราชประชาในช่วง 6 เเมทช์สุดท้ายก่อนที่จะถูกเเมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยกเลิกสัญญา ทำให้เขากลับมาอยู่กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด อีกครั้งเเละกลายเป็นตัวหลักของทีมในที่สุด ก่อนที่จะได้รับโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับ อัตเลตีโก มาดริด เป็นช่วงสั้นๆ เเละสุดท้ายได้ย้ายไปร่วมทีม อัลเมเรีย ในฤดูกาล 2014 เเละสามารถเป็นนักเตะไทยคนเเรกที่ทำประตูได้ในลาลีก้า เเต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจนต้องกลับมาอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จนถึงปัจจุบัน
ธีรศิลป์ แดงดา เรียกว่าติดทีมชาติตั้งเเต่ชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี เรื่อยมาจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ นับว่าเป็นนักฟุตบอลไทยเพียงไม่กี่คนที่ติดทีมชาติมาทุกชุด นับว่าเป็นศูนย์หน้าที่มีประสบการณ์สูงเเละช่วยสร้างสรรค์โอกาสในการพังประตูให้กับทีมชาติไทยได้เป็นอย่างดี เเละในทีมชาติไทยชุดปัจจุบันนั้นเขาถือว่าเป็นเเกนหลักของทีมในเเดนหน้าเลยทีเดียว
ชีวิตนอกสนามของ ธีรศิลป์ แดงดา นั้นไม่ค่อยหวือหวาอะไรมากนัก เขาเป็นนักฟุตบอลที่ค่อนข้างเก็บตัวเเละโฟกัสอยู่กับเกมส์ฟุตบอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
                                                              https://youtu.be/rWY9y-erVjw

12เรื่องน่าสนใจของเมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์

ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ 12 เรื่องน่าสนใจของเจ้าของฉายา เมสซี่เจ กองกลางตัวเก่งทีมชาติไทย ผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลบ้านเรา
          ชนาธิป สรงกระสินธ์  แข้งร่างเล็กลีลาเหลือร้าย เจ้าของฉายา เมสซี่เจ แม้ไซส์จะโหลดแบบนี้แต่มีดีเกินตัว โดยเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่พาทีมชาติไทยชุดใหญ่คว้าแชมป์ต่าง ๆ จนกลับมาเป็นเจ้าอาเซียนอีกครั้ง ทั้งยังเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ให้กับวงการฟุตบอลไทยอีกด้วย
เจ ชนาธิป


ว่าแล้ว ... เราก็ลองไปทำความรู้จักกับ เมสซี่เจ มิดฟิลด์ตัวจี๊ดของทีมชาติไทยคนนี้ให้มากขึ้น พร้อม 12 เรื่องที่น่าสนใจของเขากันหน่อยดีกว่า

ประวัติ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์
          ชื่อจริง : ชนาธิป สรงกระสินธ์
          ชื่อเล่น : เจ ฉายา : เมสซี่เจ
          วันเกิด : 5 ตุลาคม 2536
          น้ำหนัก : 59 กก. 
          ส่วนสูง : 158 ซม.
          ต้นสังกัดปัจุบัน : คอนซาโดเล่ ซัปโปโร
          หมายเลขเสื้อ : 18
 

15 เรื่องน่ารู้ของ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์           1. ผู้ปลุกปั้นให้ เจ ชนาธิป เข้าสู่วงการฟุตบอลได้คือพ่อจุ้ง คุณพ่อของเขา ที่ตั้งธงให้ลูกเป็นนักบอลไว้ตั้งแต่เจยังไม่คลอดเลยทีเดียว ปลุกปั้นให้เล่นบอลให้ฝึกซ้อมอย่างมีวินัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ 
 
         
  2. หลังจบ ม.3 ที่โรงเรียนสามพรานวิทยา พ่อจุ้งพาเจเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสมัครเรียนโดยเลือกเฉพาะโรงเรียนที่มีทีมฟุตบอลอยู่ในเกรดดีเยี่ยม คือ เกรด ก. เท่านั้น แม้จะผิดหวังจากหลายที่เพราะอายุเกินบ้าง โครงการล่มบ้าง แต่สุดท้ายก็มาติดที่พณิชยการราชดำเนิน ซึ่งมีทีมบอลเกรด ก. สมใจ และเจได้เป็นหนึ่งในทีมที่พาสถาบันคว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษา 18 ปี ประเภท ก. สำเร็จในปี 2554
           3. "ตัวเล็กกว่าใคร แต่ลีลาบอลเหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกัน" นี่คือสิ่งที่พ่อจุ้งบอกถึงความโดดเด่นในตัวลูกชาย ขณะเจอายุ 16 ปี หลังตามดูบอลรุ่นปี 2536 มาหมด แม้นักเตะตัวสูงใหญ่ แต่เรื่องทางบอลลูกชายยังคงได้เปรียบ รออายุ 17-18 เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เจ ชนาธิป ครบเครื่องแน่ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

           4. ด้วยความสูงแค่ 158 เซนติเมตร เจ ชนาธิป เคยถูกปฏิเสธร่วมทีมทีโอที เอฟซี ด้วยเหตุผลว่าตัวเล็กไป แต่สุดท้ายก็ได้เข้าทีมเยาวชนของสโมสรดังแห่งลีกไทยอย่าง บีอีซี เทโรศาสน และสร้างผลงานเพียบ 
           5. จุดแข็งของเจอยู่ที่การลากเลื้อย หลบหลีกฉีกแผงหลังคู่ของฝ่ายตรงข้ามออกเป็นวิ่น ๆ ได้ เรียกได้ว่าเล็กแต่ว่องไว จิ๋วแต่แจ๋วจริง ๆ

6. แจ้งเกิดในวงการบอลไทยเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่น่าจับตามอง ในลีกซูซูกิ คัพ 2012 ด้วยวัย 19 ปี กับตำแหน่งปีกซ้าย โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างน่าประทับใจ สะดุดตาคอบอลเป็นที่สุด 

           7. ที่มาของฉายา "เมสซี่เจ" มาจากสไตล์การเล่นที่ละม้ายคล้ายคลึงกับยอดนักเตะ ลิโอเนล เมสซี่ แถมยังถนัดซ้ายเหมือนกันด้วย เลยเอาชื่อ เมสซี่+เจ กลายเป็น เมสซี่เจ 

           8. แต่เอาเข้าจริง ๆ เจ เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ค่อยชอบให้คนเรียกเขาว่า เมสซี่เจ เท่าไร เพราะเขาก็มีชื่อจริง ๆ ของตัวเอง และลีลาการเล่น การคิด และทำ ก็เป็นแบบ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต่างหาก แต่อย่างน้อยก็ยินดีที่มันเป็นชื่อที่เรียกด้วยความชื่นชมยกย่อง 
 

           9. พาทีมชาติไทยทวงบัลลังก์แชมป์ในรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้สำเร็จ และนำทีมชาติคว้าแชมป์อีกครั้งใน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016

           10. นักเตะอาเซียนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าตำแหน่ง MPV หรือผู้เล่นยอดเยี่ยม ในการแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ได้ติดกัน 2 สมัยซ้อน จากการโชว์ลีลาอันน่าประทับใจได้ตลอดการแข่งขันทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
เจ ชนาธิป

11. แข้งไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงเล่นในลีกฟุตบอลสูงสุดของญี่ปุ่น หรือ เจลีก ซึ่งถือเป็นลีกที่ดีที่สุดในเอเชียเลยก็ว่าได้ โดยลงเล่นให้กับสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในปี 2017

           12. แฮชแท็ก #チャナティップ และ #chanathip ติดเทรนด์ 1 ใน 20 คำ ที่คนประเทศญี่ปุ่นแฮชแท็กกันมากที่สุด หลังจากที่เขาได้ไปร่วมทีมกับสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร อย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการย้ายทีมของ เมสซี่เจ
เจ ชนาธิป




https://youtu.be/ZUW-kMQE72w

"สิโรจน์ ฉัตรทอง" จากดินสู่ดาว

              "สิโรจน์ ฉัตรทอง" จากดินสู่ดาว


"สิโรจน์ ฉัตรทอง" จากดินสู่ดาว

นักฟุตบอลโนเนมจากบ้านนาที่มีต้นทุนชีวิตต่ำกว่าคนอื่น อาศัยความมุมานะที่ไม่ย่อท้อ ฝ่าฟันอุปสรรคจนสร้างชื่อก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในขุนพลช้างศึก ประดับธงชาติไทยบนหน้าอกอย่างเต็มภาคภูมิ
เป็นธรรมดาของวิถีฟุตบอลที่หากใครโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นก็จะถูกเรียกติดทีมชาติ แต่สำหรับ สิโรจน์ ฉัตรทอง แล้ว ทุกอย่างเหมือนความฝัน เพราะนอกจากจะเป็นเพียงดาวรุ่งที่ค้าแข้งกับสโมสรในลีกรองของประเทศแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าตัวยังไม่เคยผ่านการรับใช้ชาติในทีมชุดใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับมีชื่อติดทีมชาติไทย ในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแบกความคาดหวังของคนทั้งประเทศอย่าง ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย
“ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 ก่อนหน้านี้ผมไม่กล้าที่จะคิดถึงเรื่องติดทีมชาติเลย เพราะผมเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบเล่นฟุตบอล เริ่มเล่นฟุตบอลก็ช้ากว่าคนอื่นเขา ไม่เคยติดทีมอะคาเดมี หรือเยาวชนทีมชาติชุดไหนมาก่อนเลย ชีวิตผมหวังแค่เพียงตั้งใจซ้อมและตั้งใจเล่นกับสโมสรเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว” แข้งวัย 24 ปี เปิดใจ
อย่างไรก็ตาม การติดทีมชาติครั้งนี้ของสิโรจน์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากความมุมานะที่มีมาโดยตลอด เพราะเส้นทางถนนลูกหนังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าชาวบ้าน
“บ้านผมยากจนมาก พ่อผมเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนแม่ติดหนี้นอกระบบจากการพนันจำนวนมาก และต้องเลี้ยงลูก 6 คน โดยมีผมเป็นคนสุดท้อง แถมผมยังเรียนหนังสือก็ไม่ดี จบเพียงชั้นมัธยม 6 ที่ กศน. แม้ผมจะชอบเล่นฟุตบอล แต่ก็ไม่ได้เล่นดีอะไรเลย เบสิก ก็ไม่มี เล่นตามประสาเด็กทั่วไปไม่มีใครสอน อดทนเก็บเงินวันละ 5-10 บาทอยู่หลายเดือน กว่าจะซื้อรองเท้าสตั๊ดคู่แรกได้ในราคา 600 บาท เพื่อนำไปคัดตัวกับสโมสรสุรินทร์ซิตี้ ด้วยความที่โค้ชอาจจะชอบสไตล์การเล่นของผมที่ขยันวิ่ง อาศัยความอึด จึงได้เข้ามาร่วมซ้อมกับทีมโดยไม่มีเงินเดือน” ดาวเตะจากสุรินทร์ย้อนความทว่าอยู่ได้เพียง 2 เดือน สิโรจน์ก็ต้องออกจากทีม เพราะสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเฮดโค้ช แต่เจ้าตัวก็ไม่ย่อท้อ ยังคงมุ่งหน้าฝึกซ้อมและเล่นฟุตบอลเดินสาย จนได้ติดทีมจังหวัดและพาทีมคว้ารองแชมป์ฟุตบอลโค้ก คัพ ก่อนที่จะถูกสโมสรนนทบุรี เอฟซี ชักชวนให้ไปลองคัดตัว
“เมื่อรู้ว่าจะไปคัดตัว ผมก็ฟิตซ้อมร่างกายเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าเรื่องทักษะคงสู้คนอื่นเขาไม่ได้ จึงเน้นที่พละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกาย ผมซ้อมหนัก มาก ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาวิ่งทุกเช้า จากนั้นเล่นเวตเทรนนิ่งต่ออีก 2-3 ชั่วโมง ทั้งยกเหล็ก และซิทอัพกล้ามท้อง ตกเย็นก็ไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ทำแบบนี้ซ้ำไปมาเกือบ 2 เดือน จนร่างกายใหญ่ขึ้น เริ่มมีกล้าม ผมไม่เคยมีโค้ชสอนฟุตบอลจริงจังมาก่อน อาศัยดูคนอื่นเล่นและจำไว้ แล้วลงมือทำ ผมลงมือซ้อมด้วยตัวเองมาตลอดไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียว”
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ยอมเดิมพันด้วยชีวิต หวังตายเอาดาบหน้ารวบรวมความกล้าขอเงินจากแม่และพี่สาวรวม 2,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เยอะที่สุดที่เคยได้จากครอบครัว เพื่อเป็นค่ารถทัวร์เดินทางมาคัดฝีเท้าที่กรุงเทพฯ จนได้เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักเตะของสโมสรเมื่อปี 2012 และเป็นก้าวแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ แม้จะได้รับเพียงเบี้ยเลี้ยงซ้อมเดือนละ 300 บาท บวกกับโบนัสหากทีมชนะอีก 100 บาท รวมแล้วประมาณ 6,800 บาท/เดือน แต่เงินก้อนนี้ก็ทำให้เจ้าตัวภูมิใจอย่างมาก เพราะเป็นเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
จากนั้นชะตาชีวิตก็พุ่งพรวด ฟอร์มการเล่นเตะตาสโมสรกรุงเทพคริสเตียน ถูกทาบทามไปร่วมทัพพร้อมขยับเงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.8 หมื่นบาท ซึ่งระยะเวลา 3 ปี ในรั้วชงโค สิโรจน์ยังคงฉายแววต่อเนื่อง กระทั่งได้ย้ายมาอยู่กับสโมสรอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1
และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ!!
ถึงวันหนึ่งต้นสังกัดต้องเปิดบ้านรับมือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จ่าฝูงลีกสูงสุด ในฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ 2016 รอบ 16 ทีม แม้สุดท้าย “เทพอินทรี” จะเป็นฝ่ายแพ้ 1-2 แต่ฟอร์มการเล่นของศูนย์หน้าเจ้าของส่วนสูง 185 ซม. ได้รับเสียงชมล้นหลาม จากการใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายที่ฝึกปรือมาอย่างดีและความกระหายในการเล่น สร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับยอดทีมตลอดทั้งเกม จนเข้าตา “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เรียกติดทีมชาติอย่างไม่คาดฝัน
ปัจจุบัน สิโรจน์ ติดทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการแล้ว 3 นัด และได้ลงสนามในฐานะตัวสำรอง 2 นัด พบ ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งยังคงได้รับคำชมต่อเนื่อง และมีโอกาสสูงที่จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับ อิรัก วันที่ 11 ต.ค.นี้ ส่วนในสีเสื้อสโมสร ยิงไป 6 ประตู เป็นกำลังสำคัญช่วยทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ
เหนือสิ่งอื่นใดผลจากความมุมานะและขยันฝึกซ้อมที่มีมาตลอด ตอนนี้ “ปีโป้” สามารถปลดหนี้ให้กับครอบครัวได้หมดแล้ว และยังมีเงินเหลือส่งกลับไปช่วยที่บ้านอีกด้วย
“เส้นทางในการเป็นนักฟุตบอลของผมด้อยกว่าใครอีกหลายคน แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ เชื่อฟังโค้ชและขยันฝึกซ้อม เมื่อโอกาสมาถึงผมก็พร้อมที่จะคว้า เพราะผมเชื่อเสมอว่าต่อให้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแต่ถ้าไม่พร้อมคุณก็ไม่สามารถที่จะคว้าไว้ได้” สิโรจน์ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ
                                                 https://youtu.be/glsMdqIamDE

ประวัติบัวขาว

                                  บัวขาว บัญชาเมฆ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บัวขาว

ประวัติส่วนตัว บัวขาว บัญชาเมฆ (Buakaw Banchamek)
รุ่นน้ำหนัก จูเนียร์มิดเดิลเวท น้ำหนัก 154 ปอนด์ (70 กก.) (154lbs or 70kg.)
ชื่อจริง : สิบตรี สมบัติ บัญชาเมฆ(PFC Sombat Banchamek)
รับราชการทหาร โรงเรียนการกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน กองทัพบก
ตำแหน่ง รองผู้บังคับหมู่บริการ หมวดบริการ กองร้อยบริการ กองบริการ โรงเรียนการกำลังสำรอง ศูนย์การกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินเเดน
(รอง ผบ.หมู่ มว.บร.ร้อย.บร.กบร.รร.กสร.ศสร.นรด.)
กำลังศึกษา ที่ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ ชั้นปีที่3
วันเกิด : 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 อายุ 33ปี (Date of Birth : May 8,1982 age 33)
สถานที่เกิด : จังหวัดสุรินทร์ (Was born in Surin Province,Thailand)
ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร (Height 174Cm.)
น้ำหนัก : 70 กิโลกรัม (Weight 70kg.)
สถิติการชก : 316 ครั้ง ชนะ 262 ครั้ง ชนะโดยน็อคเอ้าท์ 68 ครั้ง แพ้ 42 ครั้ง เสมอ 12ครั้ง
Record: (Total 316, Wins 262, By Knockout 68, losses 42, Draws 12)
นักวิทยาศาสตร์การกีฬา :(Sports Scientists)
ว่าที่ร้อยโทธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้ม (Acting LT. Teerawat Yioyim)
เทรนเนอร์ : เสถียร สมขาว (Trainer : Sathian SomKaw)
แชมป์ที่สำคัญ และ เกียรติยศ
(Achievements, according )
- แชมป์ประเทศไทย รุ่นเฟเธอร์เวท
(ที่สนามมวยลุมพินี) ปี 2544
-แชมป์ K-1 World MAX champion ปี 2004 และ 2006 เข้าชิงรอบสุดท้ายถึง 5 ครั้ง ได้แชมป์ 2 สมัย
-แชมป์ 2010 Shoot Boxing
S-Cup World champion ปี 2553 คนไทยคนแรก และคนเดียวในประเทศไทย
-แชมป์ สภามวยไทยโลก ในพระบรมราชูปถัมภ์ WMC World champion ปี 2549 , 2552 , 2554 , 2557
-แชมป์ สภามวยโลก WBC Muaythai Diamond World Championship ปี2557
-แชมป์ ไหว้ครูมวยไทยสวยงาม สนามมวยลุมพินี ปี 2545
-ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แชมป์มวยไทยไฟท์ ปี 2554 ,2555
-ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รางวัลนักกีฬาอาชีพดีเด่น ปี 2555
-ถ้วยพระราชทาน กษัตริย์อัลแบร์ตที่ 2 แห่งโมนาโค แชมป์ "มอนติคาโล ไฟต์ติง มาสเตอร์" ปี 2557
-รับพระราชาทานปริญญาบัตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาโท) สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี2556
-รับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอก) สาขาวิชายุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิภาค (กลุ่มการศึกษาและจัดการภูมิปัญญา) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปี 2557
-รางวัลสุดยอดนักกีฬาขวัญใจมหาชน (ป๊อปปูล่าโหวต) ปี 2556
- อาจารย์พิเศษ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
-อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
CHAMPIONS
-2015 WLF Wu Lin Feng World Championship
-2015 WMC Muaythai (154 lb) World Championship
-2014 K-1 World MAX 2014 World Championship Tournament Championship Runner-Up.
-2014 WBC Muaythai Diamond World Championship (-70 kg).
-2014 WMC Junior Middleweight (-69.9 kg/154 lb) World champion
-2012 Thai Fight Tournament champion (-70 kg).
-2011 Thai Fight Tournament champion (-70 kg)
-2011 WMC World Junior Middleweight champion
-2010 Shoot Boxing S-Cup World champion
-2009 WMC/MAD Muaythai World champion
-2006 K-1 World MAX champion
-2006 WMC Super-Welterweight World champion
-2005 S-1 Super-Welterweight World champion
-2005 K-1 World MAX 2005 Finalist
-2004 MTA World Muay Thai Champion
-2004 K-1 World MAX champion
-2003 KOMA GP Lightweight champion
-2002 Toyota Muay Thai Marathon Tournament 140 lb. class winner
-2002 Omnoi Stadium Lightweight champion
-2001 Professional Boxing Association of Thailand Featherweight champion
-2001 Omnoi Stadium Featherweight champion
                                                          https://youtu.be/Zw9uHNKfQUg